![]() |
พระพุทธรูป ภ.ป.ร. มีต้นกำเนิดมาจากพระพุทธรูปฉลองเจ็ดสิบสองปีศิริราช ที่สร้างขึ้นในโอกาสจัดงานฉลองครบรอบ 72 ปี ศิริราชพยาบาล เมื่อ พ.ศ. 2505 โดยมีพระธรรมจินดาภรณ์ วัดราชบพิตร ผู้มีความเชี่ยวชาญในด้านพุทธศิลปและการสร้างพระพุทธรูปเป็นผู้ออกแบบร่วมกับ นายโต ขำเดช ช่างปั้นพระพุทธรูปประจำโรงงานหล่อพระของนางฟุ้ง อันเจริญ บ้านช่างหล่อ ย่านฝั่งธนบุรีซึ่งเป็นช่างหล่อ พระพุทธรูป ฝีมือดีคนหนึ่งในยุคนั้น พระพุทธรูปฉลองเจ็ดสิบสองปีศิริราช จัดสร้างเป็นพระพุทธรูปปางประทานพร มีพุทธลักษณะงดงามมากคล้ายพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยปางมารวิชัย ประทับนั่งเหนือฐานบัวค่ำบัวหงาย แบบฐานบัว สมัยสุโขทัย(ถอดแบบจากองค์รองรับอีกชั้นหนึ่งได้จัดสร้างขึ้นเป็น 2 ขนาด คือขนาดหน้าตักกว้าง 4 นิ้ว และขนาดหน้าตักกว้าง 5 นิ้ว รวม 230 องค์ พระพุทธรูปปางประทานพรของศิริราชพยาบาลดังกล่าวข้างต้นนี้ นับเป็นต้นแบบของพระพุทธรูป ภ.ป.ร.โดยแท้ |
![]() |
ต่อมาในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถ ได้ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทอดพระกฐินต้น ณ วัดเทวสังฆาราม จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม พ.ศ 2506 ทางวัดโดยพระเทพมงคลรังษี เจ้าอาวาสในขณะนั้น พร้อมด้วยคณะกรรมการวัด มีความเห็นร่วมกันว่าสมควรสร้างพระพุทธรูปปางประทานพรไว้เป็นที่ระลึก และเพื่อให้ประชาชนได้มีไว้สักการะบูชา โดยขอพระราชทานพระบรมราชานุญาติ อัญเชิญตราพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ประดับบนเหนือผ้าทิพย์ ขององค์พระพุทธรูปด้วย ซึ่งก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ พระราช ทานพระบรมราชานุญาติให้ตามความประสงค์ของทางวัด พระพุทธรูปของวัดเทวสังฆาราม ที่สร้างขึ้นเมื่อพ.ศ. 2506นี้ ได้ใช้แบบพระพุทธรูปฉลอง เจ็ดสิบสองปี ศิริราชเป็นหลัก โดยพระธรรมจินดาภรณ์เป็นผู้คิดแบบ และได้มีการแก้ไขเพิ่มเติมแบบเล็กน้อย เช่นการแก้พระหัตถ์ขวาที่พาดลงเป็นให้นิ้วพระหัตถ์กระดิกขึ้นพระวรกายและพระ พักตร์ งามกว่าเดิม และให้ออกไปทางแบบพระพุทธปฏิมาแลดูสง่าและงดงามยิ่งขึ้น พระพุทธรูป ภ.ป.ร. ปี พ.ศ. 2506 ของทางวัดสังฆรามนี้ได้นำ เอาพุทธลักษณะที่ดีเด่น ของพระพุทธรูปทั้งสามสมัย ของลังกา,เชียงแสน และสุโขทัย มาร่วมผสมผสานกัน สร้างเป็นพระพุทธรูปประทับนั่ง เหนือดอกบัวค่ำและบัวหงายบนฐานเท้าสิงห์พาดพระหัตถ์ขวาหงายบนพระเพลาอันหมายถึงปางประทานพร ประดับพระทิพย์ด้วยตราพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. นับเป็นพระพุทธรูปแบบใหม่พิเศษแห่งยุคปัจจุบัน ที่มีสัญญลักษณ์ขององค์พระพุทธศาสนาและพระมหากษัตริย์ อันเป็นมิ่งขวัญและหลักชัยของชาติรวมอยู่ด้วยอย่างพร้อมบูรณ์นับเป็นก้าวใหม่และก้าวสำคัญของการพัฒนา การสร้างพระพุทธรูปในประเทศไทย และสมควรอย่างยิ่งที่จะยกย่องว่าเป็นพระพุทธรูป สมัยรัตนโกสินทร์ ยุคปัจจุบันโดยแท้ พระพุทธรูป ภ.ป.ร. จึงถือ กำเนิดขึ้นมา โดยนัยนี้ |
![]() |
พระพุทธรูป ภ.ป.ร. ของวัด เทวสังฆาราม สร้างขึ้นเป็นพิเศษเพื่อประดิษฐานไว้ที่วัดเอง ขนาดหน้าตักกว้าง 22 นิ้ว 1 องค์ และ น้อมเกล้า ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวขนาดหน้าตักกว้าง 12 นิ้ว1 องค์ส่วนที่สร้างสำหรับประชาชนนำไปสักการะบูชา มี 2 ขนาด คือขนาดหน้าตัก กว้าง 9 นิ้ว และ 5 นิ้ว จำนวนที่สร้างขึ้นรวมหมดทุกขนาดในคราวนั้นจำนวน 3,618 องค์ การหล่อสร้างองค์พระได้สำเร็จลุล่วงบริบูรณ์ โดยได้ทำพิธีปลุกเสก ครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2507 และเริ่มแจกจ่ายให้ประชาชนที่สั่งจอง ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ 2507 เป็นต้นไปจึงนับได้ว่าเป็นการสร้างพระพุทธรูป ภ.ป.ร. ครั้งแรกอย่างแท้จริง พระพุทธรูป ภ.ป.ร. วัดเทวสังฆารามสร้างขึ้นให้ประชาชนเช่าบูชา 2 ขนาดคือ ขนาด 9 นิ้ว หล่อแบบแยกองค์กับฐานเป็น 2 ชิ้น ราคาเช่าบูชา 1,600 บาท ส่วนขนาด 5 นิ้ว หล่อแบบชั้นเดียว ราคาราคาเช่าบูชา 500 บาท ต่อ มาสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ได้นำพระพุทธรูป ภ.ป.ร. ของวัดเทวสังฆาราม ไปพระราชทานแก่ทหาร-ตำรวจหน่วยราชการต่างๆฯลฯ รวมหลายแห่ง เป็นที่ชื่นชอบยินดีกันเป็นอันมาก สมเด็จพระศรีนครินทราฯจึงได้พระราชทานพระดำริว่าน่าจะได้มีการหล่อสร้างพระ พุทธรูป ภ.ป.ร. ขึ้นอีก ที่วัดบวรนิเวศวิหาร เพื่อสนองความต้องการของผู้ศรัทธา โดยเหตุนี้จึงได้มีการตั้งคณะกรรมการสร้างพระพุทธรูป ภ.ป.ร. ขึ้นอย่างเป็นทางการ จัดเป็นงานระดับชาติเมื่อเดือนกันยายน 2507 มีจอมพลถนอม กิตติขจร นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ร่วมด้วยกรรมการจากหน่วยราชการและสถาบันต่างๆอีกกว่า 50 คน แล้วตั้งเป็นคณะอนุกรรมการสร้างพระพุทธรูป ภ.ป.ร. ฝ่ายต่างๆขึ้นอีกหลายคณะ คือ อนุกรรมการ ฝ่ายอำนวยการ อนุกรรมการฝ่ายโฆษณา อนุกรรมการฝ่ายพิธี อนุกรรมการฝ่ายการเงิน อนุกรรมการฝ่ายตรวจและควบคุมการก่อสร้างอีกรวม 100 คน เพื่อดำเนินการในเรื่องนี้ |
![]() |
วัตถุประสงค์ของการสร้างพระพุทธรูป ภ.ป.ร. เป็นครั้งที่ 2 ก็เพื่อนำรายได้ทูลเกล้าฯถวายเพื่อบูรณะพระโอสถ วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินสีห็อันเป็นพระพุทธรูปสำคัญคู่กับพระพุทธชินราช และเป็นพระอารามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จประทับขณะทรงผนวช ส่วนหนึ่งเพื่อสร้างโรงเรียนสำหรับเด็กขึ้นที่วัดสังฆาราม จังหวัดกาญจนบุรี อันเป็นพระอารามที่เริ่มดำริสร้างพระพุทธรูปนี้ขึ้น ส่วนหนึ่ง เพื่อพระราชทานแก่องค์การสาธารณกุศลตามพระราชอัธยาศัยส่วนหนึ่ง ในการนี้ คณะกรรมการได้ กำหนดการหล่อสร้าง แบ่งออกเป็น 3 ขนาดด้วยกัน และกำหนดราคาการสั่งจองดังนี้ ต่อมาก็ได้มีประกาศเชิญชวนให้ข้าราชการ และประชาชนสั่งจองกันอย่างกว้างขวางแพร่หลายทั่วราชอาณาจักร ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทั้งในหน่วยราชการ องค์การและสถาบันต่างๆ ที่เกี่ยวกับการพระพุทธศาสนา ช่วยดำเนินการรับจองกันเป็นงานใหญ่ยิ่งจริงๆ กำหนดเขตรับจองครั้งแรก ภายในเดือนมีนาคม 2508 ต่อมาก็ขยายเวลาจองออกมาเป็นถึง 30 มิถุนายน 2508 ในที่สุดก็เลื่อนออกมาจนถึงสิ้นเดือนกันยายน 2508 ปรากฏว่ามีผู้สั่งจองกันอย่างมากมายเป็นประวัติการณ์ กล่าวคือ พระพุทธรูปขนาดหน้าตัก9นิ้วมีผู้จอง 4,247 องค์ ขนาดหน้าตัก 5 นิ้ว มีผู้สั่งจองถึง 21,449 องค์ นับเป็นการสร้างพระพุทธรูปครั้งมโหฬารใหญ่ยิ่งที่สุด ที่เคยมีมาในโลก พระ พุทธรูป ภ.ป.ร. ที่สร้างขึ้นเป็นรุ่นที่สองนี้ เดิมคณะกรรมการจะจัดสร้างตามแบบพระพุทธรูป ภ.ป.ร.รุ่นแรกที่สร้าง ณ วัดเทวสังฆาราม ทุกประการ แต่เมื่อคณะกรรมการได้นำพระพุทธรูปที่ได้ออกแบบหล่อสร้างแล้วขึ้นทูลเกล้า แก้ไขเปลี่ยนแปลงแบบ ให้ถูกต้องเหมาะสมกับพระพุทธลักษณะยิ่งขึ้นด้วยพระบรมราชวินิจฉัยของพระองค์ เอง โดยมอบให้นายไพฑรูย์ เมื่องสมบูรณ์ นายช่างศิลป์กรมศิลปากรเป็นผู้ปั้นหุ่นพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 9 นิ้วขึ้นใหม่ ได้ทรงควบคุมการปั้นหุ่น ให้อยู่ในพระบรมราชวินิจฉัยโดยตลอด พระพุทธรูป ภ.ป.ร. รุ่นสองนี้จึงนับได้ว่าเป็นพระพุทธรูป ภ.ป.ร.อย่างสมบูรณ์แบบจริงๆ นับได้ว่าพระราชทานกำเนิดพระพุทธรูปแบบรัชกาลที่9 ไว้เป็นอนุสรณ์แก่ชาวพุทธในราชอาณาจักรไทย สืบไปชั่วกาลนาน พระพุทธรูป ภ.ป.ร. รุ่นสำคัญที่ทรงมีพระราชวินิจฉัยแก้ไขนี้มีพุทธลักษณะคล้ายคลึงใกล้เคียงไปทางพระพุทธรูปสมัยสุโขทัยเป็นอันมาก จึงแตกต่างจากพระพุทธรูป ภ.ป.ร.รุ่นแรก ที่สร้าง ณ วัด เทวสังฆาราม กาญจนบุรี |
![]() |
นอกจากนี้ยังได้พระราชทานภาษิต สำหรับจารึกไว้ที่ฐานด้านหน้าเพื่อเป็นสัญญลักษณ์ของชาติว่า "ทยุย ชาติยา ส สมาคุติ สติสญุชานเนน โภชิสิย รกุชนุติ" คนชาติไทยจะรักความเป็นไทอยู่ ได้ด้วยมีสติสำนึกอยู่ในความสามัคคี ส่วนที่ฐานด้านหลังมีแผ่นจารึกประกอบฐานด้วยข้อความว่า "เสด็จพระราชดำเนินพิธีหล่อ ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2508" ฉะนั้น พระพุทธรูป ภ.ป.ร. ที่สร้างครั้งใหญ่คราวนี้ จึงถือได้ว่าเป็นสัญญลักษณ์ของ ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ ครบบริบูรณ์พระพุทธรูปองค์นี้จึงมีคุณค่าทั้งทางศิลปะ ประติมากรรม ทางประวัติศาสตร์ และทางคุณธรรมแห่งจิตใจ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไป ทรงเป็นประธานไปในพิธีพุทธาภิเษกและปลุกเสกโลหะต่างๆ ที่จะนำไปหล่อพระพุทธรูป ภ.ป.ร. เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2508 แล้วเสด็จไปทรงประกอบพิธีเททองหล่อพระพุทธรูปรุ่นนี้ ณ วัดบวรนิเวศวิหารเมื่อเย็นวันอาทิตย์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2508 เนื่องจากพระพุทธรูปรุ่น ภ.ป.ร.รุ่นวัดบวรนิเวศวิหาร มีผู้พร้อมใจกันสั่งจองมากมายเป็นประวัติการณ์รวมจำนวนทั้งสิ้นถึงกว่า 25,000 องค์ ประกอบกับการดำเนินงานเป็นไปอย่างล่าช้าไม่ทันใจผู้จอง เวลา 3-4 ปีผ่านไปยังไม่มีวี่แววว่าจะได้รับพระพุทธรูปที่จองกันได้ง่ายๆจนถึงกับมี การต่อว่าต่อขานกันผ่านทางหน้า หนังสือพิมพ์ เมื่อการเลือกตั้ง ปี พ.ศ.2512 ผ่านไป ก็มีสมาชิกสภาผู้แทนตั้งกระทู้ถามในสภาถึงเรื่องการสร้างพระพุทธรูป ภ.ป.ร. นี้ ฉะนั้นพระพุทธรูป ภ.ป.ร. จึงต้องหล่อสร้างสำเร็จทะยอยออกมาเป็นรุ่นๆ มีการประกอบพิธีพุทธาภิเษกต่างกรรมต่างวาระกันไป เฉพาะอย่างยิ่งองค์ขนาดเล็กหน้าตัก 5 นิ้วนั้น รุ่นหลังต่อมาคณะกรรมการต้องมอบให้กรมธนารักษ์ สั่งซื้อเครื่องมือหล่อโลหะ ตามกรรมวิธีสมัยใหม่เข้ามาใช้เป็นครั้งแรก เพื่อหล่อสร้างให้เสร็จรวดเร็วทันต่อความต้องการของผู้จอง ซึ่งเป็นจำนวนกว่า 20,000องค์ การหล่อสร้างพระพุทธรูป ภ.ป.ร. ครั้งมโหฬารนั้นจึงต้องใช้เวลาดำเนินการนานถึง 7-8 ปีกว่าจะสำเร็จสิ้นลงไปหมด นอกจากนั้นการหล่อสร้างตามจำนวนจองรุ่นสองนี้ ถึงกว่า 25,000 องค์แล้ว ทราบว่าทางวัดบวรนิเวศวิหารยังได้ขอพระราชทานพระบรมรานุญาติหล่อสร้างเป็น การพิเศษเพิ่มเติม เพื่อการหารายได้มาใช้จ่ายในการปฏิสังขรณ์วัดบวรนิเวศวิหารเป็นการต่างหาก โดยเฉพาะอีกส่วนหนึ่งด้วย พระพุทธรูป ภ.ป.ร. ปี พ.ศ. 2508 จึงนับว่าเป็นพระพุทธรูปที่ยิ่งใหญ่ มีจำนวนมากมายมหาศาลยิ่งกว่า พระพุทธรูปแบบอื่นใดทั้งสิ้นเท่าที่เคยมีการหล่อสร้างกันมาจากสมัยอดีต โบราณตราบกระทั่งถึงกาลปัจจุบัน |
![]() |
ในวงการนักนิยมสะสมพระทุกวันนี้ ถือกันว่าใครไม่มีพระพุทธรูป ภ.ป.ร.ไว้สักการะบูชาถือว่าไม่ใช่นักเลงพระอย่างแม้จริง พระพุทธรูปที่มีความสำคัญอย่างยิ่งอีกองค์หนึ่ง ในรัชกาลปัจจุบันทีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ รัชกาลที่ 9 ทรงมีพระราชดำริให้มีการสร้างขึ้นอีกองค์หนึ่งคือพระพุทธนวราชบพิต เพื่อทรงพระราชทานให้ประดิษฐาน ประจำจังหวัดต่างๆ เพื่อให้ราษฎรของพระองค์ท่านได้สักการะ และเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจและศูนย์รวมน้ำใจของราษฎร พระพุทธนวรราชบพิตร ที่ฐานบัวหงายของพระพุทธนวราชบพิตรนั้น ได้ทรงบรรจุพระพุทธรูปพิมพ์ไว้ 1 องค์ (พระพิมพ์พิจิตรลดา อันพระพุทธรูปพิมพ์นี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงสร้างขึ้นด้วยพระหัตถ์ ประกอบด้วยผงศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ทั้งในองค์พระและจากจังหวัดต่างๆ ทุกจังหวัด ดังที่มีรายละเอียดอยู่ตอนท้ายนี้ พระพุทธรูปนวราชบพิตร นั้นนอกจากจะเป็นนิมิตรหมายแห่งคุณพระรัตนตรัย อันเป็นที่เคารพบุชาสูงสุดแห่งพุทธศานิกชนทั่วไปแล้วยังเป็นนิมิตหมายแห่ง ความผุกพันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับองค์พระมหากษัตราธิราชกับบรรดาพสกนิกร ของพระองค์ ในทุกจังหวัดทั่วราชอาณาจักรและพระพุทธรูปพิมพ์ซึ่งได้บรรจุไว้ที่ฐานบัว หงายนั้น ก็ประกอบด้วยวัตถุศักดิ์สิทธิ์ต่างๆอันศาสนิกชนทั่วราชอาณาจักรได้ปกิบัติชุ ชาสืบเนื่องกันมาเป็นเวลาช้านาน พระพุทธนวราชบพิตร จึงเป็นพระพุทธรูปที่สำคัญยิ่งองค๋หนึ่งในรัชกาลปัจจุบันจึงเห็นควรวาง ระเบียบปฏิบัติเกี่ยวกับพระพุทธนวราชบพิตรไว้ดังต่อไปนี้ |
![]() |
นอกจากนี้ยังมีพระพุทธรูปที่จัดสร้างขึ้นในยุครัชกาลปัจจุบัน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาติให้ประดับพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ไว้ที่ผ้าทิพย์ เช่น พระพุทธชินราชจำลอง ภ.ป.ร. จัดสร้างโดย กองทัพภาคที่ 3 สมัยพลเอกสำราญ แพทยกุล เป็นประธานดำเนินการจัดสร้าง ณ วัดพระศรีมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลกเมื่อ พ.ศ. 2516 ทำการปั้นหุ่นโดย ส.จ.อ. ทวี บูรณเฃตต์ ช่างปั้นที่มีชื่อ โดยจัดสร้างจำลองขนาด 9 นิ้ว ลงรักปิดทอง ราคาจอง 3,600 บาท หลังจองราคา 5,500 บาท พระพุทธรูปปางประทานพร ภ.ป.ร. จำลองจากพระพุทธรูป ภ.ป.ร. ปี พ.ศ. 2508 โดยจำลองจากองค์จริงทุกประการ หรือรูปแบบและขนาดยกเว้นแต่ผ้าทิพย์แทนที่จะเป็นพระปรมาภิไธยย่อภายใต้พระ มหามงกุฏกลับเป็นพระสถูปเจดีย์ แบบพุกรคยา ที่วัดธรรมมงคล และมีพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. เรียงกันเป็นแถวยาวอยู่ใต้ผ้าทิพย์ มีอักษรจารึกว่าโปรดเกล้าให้จำลองพระพุทธรูป ภ.ป.ร. เมื่อวันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2518 และทรงเสด็จพระราชดำเนินเททอง เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2519 จำนวนที่สร้างให้ประชาชนเช่าบูชา 2 ขนาด คือ 9 นิ้ว จำนวนที่สร้างมีไม่มากนัก พระพุทธรูปปางประทานพร ภ.ป.ร. แบบยกพระหัตถ์ขวาเหนือพระอุระ ของวัดไทยในนครลอสแองเจลิสได้รับพระราชพระบรมราชานุญาตให้ประดับพระปรมาภิไธยย่อ ภ.ป.ร. ไว้ที่ผ้าทิพย์ และทรงเสด็จพระราชดำเนินเททองที่วัดโพธิ์เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2522 เป็นพระพุทธรูปปางประทานพรแบบยกพระหัตถ์ขวาเหนือพระอุระ ที่ฐานจารึกคำว่า "พระพุทธนรเทพศาสดาทิพยนคราภิมงคลสถิต" ส่วนด้านหลังประดับรูปธงชาติไทยและธงชาติสหรัฐอเมริกา ทั้ง 2 ด้านตรงกลางเป็นธรรมจักรและจารึกเป็นภาษาไทยและอังกฤษว่า วัดไทย ลอสแองเจลีส WAT THAI OF LOS ANGELES สร้างเป็นพระประทานประดิษฐานไว้ ณ วัดไทย ในนครลอสแองเจลีส สหรัฐอเมริกา และได้จัดสร้างองค์จำลองขนาด 9 นิ้ว และ 5 นิ้ว ให้ชาวไทยเช่าบูชา ขนาด 9 นิ้ว ราคา 200 ดอลลาร์ ขนาด 5 นิ้ว ราคา 100 ดอลลาร์ เพื่อให้ชุมชนชาวไทยในต่างแดนโดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกาได้มีโอกาสเช่าบูชาไว้ เพื่อเป็นศิริมงคลประจำบ้าน ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในประเทศไทย จำนวนที่สร้างไม่มากนัก และไม่ค่อนพบเห็นในประเทศไทย จึงเป็นพระพุทธรูป ภ.ป.ร. อีกองค์หนึ่งที่หาชมได้ยาก ที่มา : http://www.mac.in.th/~pra/sara_05_0004.html |
วันอังคารที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2551
พระพุทธรูป ภ.ป.ร
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)