วันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ประวัติ เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ผู้สร้างพระสมเด็จฯ ตอนที่ 3

ประวัติ เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี ผู้สร้างพระสมเด็จฯ
โดย ตรียัมปวาย
••••••••••••••••••••••••••••
อัจฉริยภาพบางประการ
••••••••••••••••••••••••••••
รูปเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ห่มดอง
รัดประคตแบบเก่า การนั่งสมาธิราบแบน มีลักษณะหลายอย่างชวนให้คิดว่าคล้าย กับพระสมเด็จฯที่ท่านได้สร้างขึ้น เช่น วงใบหน้า เป็นผลมะตูม ไหล่ซ้ายทรุดกว่า ด้านชวา ช่วงดารทิ้งแขน และการหักมุม ตรงข้อศอก และการประสานมือสมาธิ รูปนี้เข้าใจว่าถ่ายในปี พ.ศ. 2410

เพื่อเป็นการแสดงให้ท่านผู้อ่านรู้จักเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ดีขึ้น จึงใคร่จะได้นำเอาอัจฉริยภาพบางประการของท่านมาแสดงไว้ในที่นี้ด้วย พฤติการณ์ของท่านเจ้าพระคุณสมเด็จเมื่อยังมีชีวิตอยู่นั้น เป็นเรื่องของนักปรัชญาทั้งสิ้น ควรแก่การศึกษาอย่างที่สุด พฤติการณ์เหล่านี้ ผู้เขียนขอเรียกว่า "อัจฉริยภาพ" เพราะเป็นเรื่องที่ประหลาดไม่เคยปรากฏว่าบุคคลธรรมดากระทำกัน และบุคคลที่กระทำได้ย่อมเรียกได้ว่า อัจฉริยภาพบุคคล หาใช่บุคคลธรรมดาสามัญไม่ อัจฉริยภาพของท่านส่วนมากได้จากการเล่าขานกันสืบต่อมา ซึ่งจะได้ประมวลไว้เป็นเรื่องๆ ดังนี้

เรื่องการเทศน์ในพระบรมหาราชวัง และที่อื่นๆ

"....โดยปรกติ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จออกทรงธรรม ณ พระที่นั่งอนันตสมาคมเสมอ พระที่นั่งอนันตสมาคมนี้ อยู่ในกำแพงพระบรมมหาราชวัง เป็นทั้งท้องพระโรงสำหรับรับแขกเมืองและเสด็จออกขุนนางตามปรกติด้วย ณ พระที่นั่งนี้แลได้โปรดฯ ให้นิมนต์สมเด็จพระราชาคณะชั้นผู้ใหญ่ผลัดเปลี่ยนเวรกันเข้าไปถวายพระธรรมเทศนา และในโอกาสหนึ่ง เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ถูกนิมนต์ เข้าไปถวายเทศน์ในพระบรมมหาราชวัง กำหนดถวายเทศน์ติดต่อ ๓วันจบ ในวันแรกการถวายเทศน์ได้ดำเนินไปตามปรกติ ครั้นพอย่าง เข้าวันที่๒ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จะทราบได้ทางใดทางหนึ่งไม่ปรากฏว่า วันนี้เจ้าจอมองค์หนึ่งกำลังจะประสูติพระเจ้าลูกยาเธอ และขณะที่ ถวายพระธรรมเทศนาอยู่นั้น สังเกตได้ว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระอาการกระสับกระส่าย จึงทรงถวายเทศน์อยู่เป็นเวลานาน จนเสียงมโหรีประโคมขึ้น แสดงว่าพระเจ้าลูกยาเธอทรงประสูติแล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จฯก็จบพระธรรมเทศนาลงด้วยเหมือนกัน ครั้นวันที่ ๓ พอเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ขึ้นธรรมมาส์น ตั้ง นโมและบอกศักราชตามธรรมเนียมแล้ว ก็ถวายพระธรรมเทศนาว่า

"อันธรรมะใดๆ มหาบพิตรก็ทรงแจ้งอยู่แล้ว เอวํก็มีด้วยประการฉะนี้ ขอถวายพระพร"

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ จึงทรงพระดำรัสถามขึ้นว่า "เมื่อวานนี้มีธุระอยากจะให้เทศน์จบเร็วๆกลับเทศน์เสียนาน วันนี้ใจคอสบาย อยากฟังนานๆ กลับเทศน์ห้วนอะไรเช่นนี้" เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงถวายพระพรว่า "เมื่อวานนี้มหาบพิตรทรงไม่สบายพระราชหฤทัย สมควร จะได้สดับพระธรรมให้มากๆ เพราะพระธรรมเท่านั้นจะกล่อมพระอารมณ์ที่ขุ่นมัวให้สิ้นได้ แต่วันนี้พระองค์ทรงพระสำราญพระราชหฤทัยดีแล้ว ไม่ต้องฟังพระธรรมนักก็ได้" พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ เมื่อได้ทรงสดับเช่นนี้ก็พอพระทัยยิ่งนัก

คราวหนึ่ง ขณะดำรงสมณศักดิ์เป็นเจ้าคุณธรรมกิตติ ถูกนิมนต์เทศปุจฉาวิสัชนาคู่กับเจ้าคุณธรรมอุดม(สมณศักดิ์อันได้มาเปลี่ยนเป็น "ธรรมวโรดม" ในรัชกาลที่ ๔) วัดเชตุพนฯ เมื่อใกล้จะจบ เจ้าคุณธรรมอุดมได้เทศน์แถมท้ายเป็นปริศนาว่า "พายเถอะหนาพ่อพาย ตะวัน จะสาย ตลาดจะวาย สายบัวจะเน่า" โดยไม่ทันรู้ตัวมาก่อนว่า เจ้าคุณธรรมอุดมจะเทศน์ในลักษณะนี้ แต่ด้วยปฏิภาณอันเฉียบแหลม เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เข้าใจความหมายได้ทันที (เจ้าคุณธรรมอุดมหมายความว่า อันมีชีวิตของมนุษย์เรานี้สั้นนัก จงเร่งสร้างการกุศล และยึดธรรมะเป็นที่พึ่งเถิด เพราะความตายย่างใกล้เข้ามาทุกขณะแล้ว มิฉะนั้นจะเป็นการสายเกินไป) จึงเทศน์แก้ออกไปทันทีว่า

"ก็โซ่ไม่แก้ ประแจไม่ไข จะพายไปไหว หรือพ่อเจ้า"

อันเป็นความหมายว่า มนุษย์เรานี้เต็มไปด้วยกิเลสและสังโยชน์ (สังโยชน์ ๑๐ "เครื่องร้อยรัด ๑๐ ประการ ซึ่งได้แก่ ๑. สักกายทิฎฐิ การหลงตัว (The illesion of self) ๒. วิจิกิจฉา ความคลางแคลง (Scepticism) ๓. สีลมพัตตปรามาส การยึดถือเพียงพิธี (Attachmemt to Rites and Ceremonies) ๔.กามราคะ ความยินดีในกาม (Sexnal lust) ๕. ปฏิฆะ ความโกรธ (Ill-will) ๖. รูปราคะ ความอยากมีชีวิตอยู่ในโลกที่มีรูปบริสุทธิ์ (Craving for lift in the world form) ๗. อรูปราคะ(Craving for lift in the world) ๘. มานะ ความเย่อหยิ่ง (Pride) ๙. อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน (Agitation) ๑๐. อวิชชา ความไม่รู้ (Ignorance) )อันเป็นเครื่องร้อยรัด และไม่พยายามตัดเครื่องร้อยรัดเหล่านี้ออกเสียจะก้าวเข้าสู่อาณาจักรแห่ง พระโลกกุตรธรรมได้อย่างไร?

เรื่องเทศน์สิบสองนักษัตร์

คราวหนึ่งท่านผู้มีบรรดาศักดิ์ผู้หนึ่ง (ค้นนามไม่พบ) ได้ให้คนใช้มานิมนต์เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไปเทศน์เรื่อง อริสัจจ์๔ แต่คนใช้ผู้อ่อน การศึกษา ไม่เคยได้ยินคำว่า อริยสัจจ์ มาก่อน จึงเมื่อมาถึงวัดระฆังฯ แล้วก็ลืมเสียสนิท ไพล่ไปจับเอาคำว่า ๑๒ นักษัตร์ ซึ่งเคยได้ยินอยู่ บ้าง มาแทน และไปนิมนต์เทศน์ผิดเรื่อง แต่ท่านก็รีบรับคำโดยดุษดี พอถึงกำหนดเทศน์หลังจากอาราธนาให้เบญจศีล และเบญจธรรม และบอกศักราชเรียบร้อยแล้ว ก็ดำเนินจุนนี่บทสิบสองนักษัตร์ทันที มีพลความดังนี้

อันว่า มุสิโก ว่าปีชวด, อุสโภ ว่าปีฉลู, พยัคโฆ ว่าปีขาล, สะโส ว่าปีเถาะ, นาโค ว่าปีมะโรง, สัปโป ว่าปีมะเส็ง, อัสโส ว่าปีมะเมีย, เอฬโก ว่าปีมะแม, มักกะโฎ ว่าปีวอก, กุกกุโฎ ว่าปีระกา, สุนโข ว่าปีจอ, สุกโร ว่าปีกุน.

ชื่อเหล่านี้เป็นของสมมุติเรียกขึ้น เพื่อกำหนดวัสแห่งรอบ ๑๒ ปี นอกจากนี้ยังแบ่งซอยเป็นมาส เอาชื่อลักษณะของกลุ่มดวงดาว บนท้องฟ้ามาขนานนาม เช่น เมษ ว่าดาวรูปเนื้อ, พฤษภ ว่าดาวรูปวัว, มิถุน ว่าดาวรูปคนร่วมเพศ, กรกฎ ว่าดาวรูปปู, สิงห์ ว่าดาวรูปราชสีห์, กันย์ ว่าดาวรูปหญิงงาม, ดุล ว่าดาวรูปคันชั่ง, พฤศจิก ว่าดาวรูปแมลงป่อง, ธันว์ ว่าดาวรูปธนู, มกร ว่าดาวรูปมังกร, กุมภ์ ว่าดาวรูปหม้อ, มีน ว่าดาวรูปปถา.นอกจากนี้ ยังจับเอาชื่อของพระเคราะห์สำคัญ ๗ ดวง มาขนานนามว่าเพื่อแบ่งซอยเวลาลงไปอีก คืออาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสบดี ศุกร์ เสาร์

เมื่อเจ้าพระคุณเทศน์เช่นนี้ทำให้ท่านเจ้าของบ้านและผู้คนที่มาฟังเทศน์ในวันนั้น เกิดความฉงนสนเท่ห์ในใจไปตามๆ กัน แต่ต่าง ก็สงบใจสดับเทศนาของท่านต่อไป เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้เทศน์ต่อไปว่า เป็นกุศลอันหนักหนาสำหรับท่านที่มาฟังพระธรรมเทศนาในวันนี้ ด้วยเหตุที่เป็นความบังเอิญที่ผู้นิมนต์คงจะจำเรื่องผิด จำเรื่องอรยสัจจ์ไม่ได้ กลายเป็นสิบสองนักษัตร ไปเสีย แต่เป็นความบังเอิญที่ เหมาะสม เพราะสิบสองนักษัตร์เป็นสมุฎฐานแห่งวาระกรรมของสัตวโลก อันสังขารนั้นย่อมผันแปรไปตามวาระ ได้แก่การ เกิด, แก่, เจ็บ, ตาย เป็นที่แล้ว วาระเป็นเครื่องยื่นยันในหลักธรรมที่ว่า ความเวียนว่ายตายเกิดเป็นทุกข์ และพุทธองค์ได้ตรัสไว้แล้ว ถึงอริยสัจจ์ ๔ ประการ ได้แก่ทุกข์เป็นของมีจริง สมุทัย ต้นเหตุของทุกข์ มิโรธ ความดับทุกข์ และมรรค หนทางให้ถึงความดับทุกข์

และเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้เทศนาแยกแยะถึงใจความสำคัญแห่งอริยสัจจ์ ๔ อย่างถี่ถ้วน และลงท้ายว่า การเทศน์นสิบสองนักษัตร์นี้ ก็มีพวกสาธุชนที่มาประชุมฟังพระธรรมเทศนาในวันนี้เท่านั้นที่ได้สดับ เพราะไม่เคยมีมาแต่กาลก่อน และจะไม่ปรากฏในกาลต่อไปอีกจึงกล่าว ว่า เป็นกุศลอันประเสริฐของท่านทั้งหลาย

การเทศน์วันนั้นกินเวลานาน เพราะพระคุณสมเด็จฯ ต้องใช้เวลาสาธยายมาตรฐานแห่งวาระให้สอดคล้องเข้าเรื่องสัจจ์ ผู้ที่มาสดับใน วันนั้นต่างปลื้มปิติกันทั่วทุกคน

เรื่องเทศน์กัณฑ์มัทรีที่อัมพวา

ปรากฏว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีวิธีการดัดนิสัยและให้สติบุคคลอื่นด้วยวิธีการที่แปลกประหลาดพิสดารและได้ผลดีเสมอ ถ้าจะว่าแล้ว ก็อาจกล่าวได้ว่า ท่านเป็นนักปกครองที่ดีที่สุดที่มีวิธีการณ์ไม่ซ้ำแบบใครเลย ดังจะกล่าวแต่ละเรื่องดังนี้

ในครั้งหนึ่ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงพระราชดำริให้วัดต่างๆ มีการตกแต่งเรือเข้าประกวด และเสด็จมาประทับทอดพระเนตร อยู่ที่ตำหนักแพ (ท่าราชวรดิษฐ์) วัดต่างๆ ได้ส่งเรือเขาประกวดกันเป็นอันมาก และต่างก็ประกวดประขันกันในด้านความงดงามอย่างถึงขนาด พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทอดพระเนตรเรือของวัดต่างๆ ที่ผ่านตำหนักแพไปอย่างทรงสำราญพระราชหฤทัย แต่พอถึงตอน เรือของวัดระฆังฯ ปรากฏว่าเป็นเรือสำปั้นขนาดย่อมเก่าๆ มีเณร ๒ องค์พายหัวและท้าย กลางลำมีลิงตัวหนึ่งผูกไว้กับหลัก มีป้ายแขวนคอลิง ตัวนั้นอยู่แผ่นหนึ่งและมีตัวหนังสือเขียนว่า "ขายหน้าเอาผ้ารอด" พอทอดพระเนตรเห็นเข้า ก็ทรงพระพิโรธ และทรงพระดำรัสถามข้าราชบริพาร ว่า "เรือของวัดอะไร?"เมื่อได้ทรงทราบว่าเป็นเรือของวัดระฆังๆ ก็ทรงเสด็จพระราชดำเนินกลับเข้าพระราชวังเสียพร้อมกับ พระราชดำรัสว่า "เขาไม่เล่นกับเรา" ครั้นอยู่มา มีข้าราชบริพารผู้หนึ่งไปถามเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ว่า "คำว่า ขายหน้าเอาผ้ารอดนั้น หมายความว่ากระไร?" เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้อธิบายว่า "ธรรมดาพระสมณะย่อมหาสมบัติใดๆ ได้ยาก เพราะได้รับเครื่องอุปโภคจากการภิกขาจาร หรือผู้มีจิตศรัทธา นำมาถวาย จึงย่อมไม่มีทุนทรัพย์ในอันที่จะนำมาลงทุนซื้อหาสิ่งใดๆ เพื่อตกแต่งประดับประดาเรือให้สวยงามได้ แต่มีอยู่ประการหนึ่ง ที่จะทำได้เช่นนั้น คือต้องขายผ้าใตรเสีย เพื่อเอาเงินมาลงทุนประดับเรือ จึงยอมขายหน้าเพื่อเอาผ้าไตรรอดไว้ก่อน เพราะเป็นสิ่งจำเป็น ที่จะได้เอาไว้ห่มครองสังขารกันความร้อนหนาว"

นับแต่นั้นมา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มิได้ทรงดำริให้มีการประกวดเรือของวัดอีกเลย การกระทำของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ในครั้งนี้เป็นการทูลถวายพระสติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ แม้ว่าจะเป็นการเสี่ยงอยู่มากก็นับว่าได้ผลดี

ในครั้งหนึ่ง พระที่วัดระฆังฯ ๒ องค์เกิดทะเลาะกันถึงกับด่าถึงโยมผู้ชายซึ่งกันและกันคำหนึ่ง "พ่อ" สองคำก็ "พ่อ" เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ยินเข้า และได้เอาดอกไม้ธูปเทียนมายังที่ซึ่งพระทั้ง ๒ กำลังทะเลาะกันอยู่ พอมาถึงก็ยกมือจบดอกไม้ธูปเทียนขึ้นกล่าวว่า "พ่อทั้งสองจ๊ะ, พ่อเก่งเหลือเกินจ้ะ ลูกขอฝากเนื้อฝากตัวบ้าง" พระทั้งสององค์เห็นเช่นนั้นก็รู้สึกตกใจและละอายใจอย่างยิ่งต่างได้กราบขอขมาต่อเจ้าพระคุณ สมเด็จฯ และสัญญาว่าจะไม่ทะเลาะกันอีกเลย

เล่ากันว่าในการจาริกไปตามชนบทเพื่อหลบเลี่ยงการตั้งให้เป็นพระสมณศักดิ์ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ คราวหนึ่ง เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้จาริกไปตามหมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่งทางภาคอิสาณ ในขณะที่ผ่านป่าละเมาะแห่งหนึ่ง ได้เห็นสัตว์ป่าชนิดหนึ่งติดแร้วอยู่ ท่านจึงได้ ปลดปล่อยสัตว์ป่าตัวนั้นไป แล้วเอาขาของท่านเข้าไปใส่ไว้ในแร้วนั้นแทน จบพลบค่ำ นายพรานได้มาเห็นพระแก่ๆ องค์หนึ่งมาติดแร้ว ของเขาอยู่ จึงได้ถามเรื่องราวว่า "หลวงพ่อมาจากไหน? ทำไมจึงมาติดแร้ว?" เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ตอบแก่ชายผู้นั้นว่า "อาตมภาพ ได้เดินทางผ่านมาทางนี้ และได้เห็นสัตว์ตัวหนึ่งติดแร้วของพ่ออยู่ อาตมภาพรู้สึกเวทนาสัตว์ที่น่าสงสารตัวนั้น จึงได้ปล่อยไปเสีย และเอาตัว ของอาตมาเข้าจำนองไว้แทน สุดแต่พ่อจะเอาไปฆ่าแกงเถอะจ๊ะ" เมื่อนายพรานได้ยินเช่นนั้น ได้บังเกิดความเลื่อมใสเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เจ้าพระคุณรีบจัดแจงปลดแร้วออก และนิมนต์ท่านไปที่บ้าน ทั้งจัดการต้อนรับอย่างดีที่สุด เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงได้กล่าวขอบิณฑบาต ชีวิตสัตว์ทั้งหลายไว้ นายพรานผู้นั้นก็รับคำทุกประการ

กล่าวกันว่า ในคืนหนึ่ง มีขะโมย ๒ คน คิดกันเขาไปขะโมยของในหอสวดมนต์ซึ่งเป็นที่จำวัดของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ขะโมยทั้งสอง นัดแนะกันว่า คนหนึ่งจะเข้าไปค้นข้างในและอีกคนหนึ่งรอรับที่หัวบันได คืนที่เข้าไปค้นข้างในไม่เห็นอะไร เพราะคืนนั้นเป็นคืนข้างแรม มืดมาก เจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั่งซุ่มดูขะโมยทั้งสองอยู่ใกล้กับบันไดนั้น แต่คนที่เข้าไปค้นของไม่เห็นท่าน ส่วนคนที่อยู่หัวบันได้เห็นท่าน และเข้าใจว่าเป็นเพื่อนของตน จึงสะกิดท่านให้ส่งของออกมา เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ส่ง บาตร์ , กระโถน, ป้านน้ำร้อน, จีวร, และพัดให้แก่ ขะโมยผู้นั้นไปจนหมด สักครู่หนึ่งขะโมยคนที่เข้าไปค้นข้างบนก็ลงมาข้างล่าง และเมื่อเห็นสิ่งของเหล่านี้กองอยู่ จึงเข้าใจว่าเพื่อนของตน ขึ้นไปขนลงมา จึงได้ช่วยกันขนของเหล่านี้รีบออกจากวัดระฆังฯไป พอพ้นเขตวัดจึงได้เกิดซักถามกันขึ้น คนที่ได้ขึ้นไปค้นข้างบนหอสวดมนต์ บอกว่า "ไม่พบของอะไรเลย"อีกคนหนึ่งก็ว่า "ของเหล่านี้ไม่ได้ส่งลงมาดอกหรือ?" คนนั้นก็ปฏิเสธว่า "เปล่า" จึง เป็นอันรู้ว่า ชะรอย เจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั่นเองที่ช่วยส่งของลงมาให้ บาปของเขาที่ทันตาเห็นก็คือ เขาทั้งสองนอนไม่หลับตลอดคืน ปรึกษากันไม่ตกว่า จะทำอย่างไรกับสิ่งของเหล่านี้ดี ครั้นรุ่งขึ้นแต่เช้ามืดขะโมยทั้งสองจึงได้ตกลงใจรีบนำเอาสิ่งของที่ขโมยไป กลับมาถวายคืนให้ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ๆ จึงได้ขอบิณฑบาตต่อขะโมยทั้งสองว่า "ต่อไปจงอย่าได้ริอ่านถือเอาสิ่งของของผู้อื่นโดยเจ้าของมิได้ยกให้อีกเลย" ขะโมยทั้งสองก็รับคำสัญญากับท่านทุกประการ

มีอีกหนึ่งที่ค่อนข้างขบขันอยู่สักหน่อย คือในครั้งที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ คิดจะบูรณะพระอุโบสถและก่อพระปรางค์ (พระปรางค์องค์ใหญ่ ที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้) ที่วัดระฆังฯ ในวันหนึ่งขณะที่พวกถกุมลีมอญกำลังขนทรายจากเรือขึ้นวัด เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ไปยืนดูอยู่กุลีมอญคน หนึ่งซึ่งไม่รู้จักเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ออกปากไล่ท่านไม่ให้ยืนเกะกะ มอญว่า "หลวงต๊า, หลีกไป๊อย่าเกะกะ(หลวงตา, หลีกไป อย่าเกะกะ)" เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ยืนเฉยเสีย มอญจึงว่า "หลวงต๊า,นี้ดื่อ (หลวงตานี้ดื้อ)" เจ้าพระคุณสมเด็จฯ หัวเราะหึๆ แล้วเปรยออกมาเรียบๆ ว่า "อ้ายมอญๆ" แล้วก็เดินจากที่นั่นไป ปรากฏว่า มอญชนทรายตั้งแต่เช้าจนเย็นก็ไม่หมดลำเรือสักที จึงพากันมานั่งพักเหนื่อยอยู่ข้างกองทราย เจ้าพระคุณสมเด็จฯ เดินมาเห็นเข้า จึงถามเป็นเชิงล้อเป็นสำเนียงมอญว่า "ผ่อม๊อญ, เป็นหยั่งไง๊จึงมานั่งหอบฮั่กๆ" (พ่อมอญเป็นยังไง จึงมานั่งหอบฮักๆ?) มอญจึงว่า "หล่วงต๊า เป็นหยั่งไง๊ ข่นทร๊ายไม่หมด" (หลวงตาเป็นยังไงขนทรายไม่หมด) เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงว่า "ไปขนเถอะประเดี๋ยวก็เสร็จ" มอญจึงพากันไปขนต่อ ไม่ทันพลบค่ำก็เสร็จ มอญพากันประหลาดใจและเลื่อมใสเจ้าพระคุณสมเด็จฯ กันมาก รุ่งขึ้นได้พากันไปซื้ออาหารมาทำถวายเจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ฉันแบบสำรวมอย่างที่เคยฉัน ทำให้มอญแปลกใจมาก เพราะไม่เคยเห็น มิหนำซ้ำพอฉันเสร็จก็เอาน้ำใส่จานเป็นเชิงล้างจานแล้วยกขึ้นซด มอญอดรนทนไม่ได้ ถึงกับออกปากว่า "หล่วงต๊าท่ำอย่างง๊ายๆ" (หลวงตาทำอย่างไงๆ)

เล่ากันว่า มีหลวงตาองค์หนึ่ง อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มักจะจำวัดตื่นสายไม่ได้ไปบิณฑบาตเสมอๆ จึงเจ้าพระคุณ สมเด็จฯ เมื่อกลับจากบิณฑบาตแล้ว ก็แวะฉันที่หน้ากุฏิหลวงตาองค์นั้นเสมอหลวงตาองค์นั้นรู้เข้าจึงต้องรีบตื่นแต่เช้า ไปบิณฑบาต เหมือนพระอื่นๆ

นี้ก็เป็นบุคคลิกภาพอันหนึ่งที่ใช้ตักเตือนคนอื่นๆ ที่ได้ผลโดยไม่ต้องพูดกันเลย.

ได้แก่เรื่องลูกศิษย์ขนาดเขื่องของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้พากันลวงเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ว่า "วันนี้เขานิมนต์ไปเทศน์" เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงว่า "เขานิมนต์พรุ่งนี้ไม่ใช่หรือ?พวกศิษย์เหล่านั้นก็ช่วยกันยืนยันว่า "วันนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้" ทั้งนี้เพราะลูกศิษย์ขนาดเขื่องๆ เหล่านั้นพากันขาด แคลนของอุปโภคนั่นเอง อดใจรออยู่ไม่ได้ เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็รู้เท่าทันในความคิดของเขาเหล่านั้นดี แต่แกล้งกล่าวว่า "ถ้าเช่นนั้นก็ไปสิ" พวกลูกศิษย์ก็พากันดีใจ รีบแบกพัดและหีบคัมภีร์พาเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ลงเรือพายไปยังบ้านที่เขานิมนต์ไว้ โดยคิดเสียว่า เมื่อเจ้าพระคุณ สมเด็จฯ ไปถึงบ้านผู้นิมนต์แล้ว อย่างไรเสียก็ต้องไปเทศน์ในวันนั้นเพราะใครๆ ก็ต้องเกรงใจเจ้าพระคุณสมเด็จฯ กันทั้งนั้น แต่เผอิญ เจ้าของบ้านยังเตรียมตัวไม่ทัน เมื่อไปถึงบ้านผู้นิมนต์ เจ้าของบ้านจึงกราบเรียนถามว่า "หลวงพ่อมีธุระอันใดหรือ?" เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ว่า "ก็มาเทศน์อย่างไรเล่า" เจ้าของบ้านก็ว่า "นิมนต์หลวงพ่อพรุ่งนี้มิใช่วันนี้ดอก" เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงว่า "นั่นนะซิจ๊ะ, ฉันก็ว่าพรุ่งนี้ แต่เจ้า พวกนี้สิเขาเคี่ยวเข็ญฉันว่าวันนี้ ฉันเลยต้องมาจ้ะ เพราะตัวคนเดียวเขาหลายคนสู้เขาไม่ได้จ้ะ" เจ้าของบ้านและคนในบ้านนั้นก็พากันหัวเราะ ไปตามๆกัน แต่พวกลูกศิษย์ขนาดเขื่องๆ เหล่านั้นไม่กล้าเข้าหน้าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไปหลายวัน และแต่นั้นมา ก็มิได้คิดอ่านเช่นนี้อีกต่อไป ทั้งๆที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไม่ได้ว่ากล่าวแต่ประการใด

จะเห็นได้ว่าวิธีการลงโทษของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั้นพิสดารและได้ผลลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าวิธีอื่นใดทั้งสิ้น

เรื่องจุดไต้กลางวัน

เรื่องประหลาดของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ อีกเรื่องหนึ่งที่มีผู้กล่าวขานกันมากก็คือ การจุดไต้ในเวลากลางวัน กล่าวกันว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทำปริศนาด้วยการจุดไต้ในเวลากลางวัน ๒ ครั้ง คือครั้งแรก ในสมัยรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว กล่าวกันว่าในเวลา กลางวันวันหนึ่ง เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้จุดไต้เข้าไปเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมหาราชวัง เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ทรงทราบจากข้าราชบริพารผู้ใกล้ชิดยุคลบาท ก็เสด็จพระราชดำเนินออกมาท้องพระโรง จึงทอดพระเนตรเห็นเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ยื่นถือไต้ ซึ่งติดไฟลุกโพลงอยู่ ก็ทรงเข้าพระทัยในความหมายของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ได้ทันทีและทรงตรัสกับเจ้าพระคุณสมเด็จฯว่า "เข้าใจแล้ว ขรัวโต" แล้วเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็กลับวัดระฆังฯ โดยไม่ต้องทูลถวายถ้อยคำใดๆเลย เรื่องนี้ผู้เขียนจะขอออกตัวในการให้อรรถาธิบายใดๆ แต่ขอชี้ให้เห็นอัจฉริยภาพระหว่างพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ว่าล้วนแต่ทรงมีความสัมพันธ์ทางมโนสัมผัส ซึ่งกันและกันได้อย่างน่าสรรเสริญ เข้าในลักษณะที่ว่า "ปราชญ์ย่อมเข้าใจในวิสัยปราชญ์" อีกครั้งหนึ่ง กล่าวกันว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จุดไต้ในเวลากลางวันวันอีกในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุมจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตอนผลัด แผ่นดินใหม่ ในตอนนั้นสมเด็จพระปิยมหาราชเจ้าทรงมีพระชนมายุเพียง ๑๖ พรรษา เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ หรือเรียกกันเป็นสามัญว่า "เจ้าพระกลาโหม" ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ถือบังเหียนการบริหารประเทศทรงอำนาจเต็ม ในครั้งนี้เองมีเรื่องโจษจัน กันทั่วไปว่า เจ้าพระยากลาโหมจะกบฎราชบัลลังก์ ข่าวนี้ล่วงรู้ไปถึงพระเจ้าคุณสมเด็จฯ เข้า จึงได้จุดไต้เดินเข้าวังอีก สมเด็จพระปิยมมหาราช ออกมารับ และเมื่อทรงทอดพระเนตรเห็นเช่นนั้นก็ตกพระทัย และทรงตรัสถามว่า "มีความเดือดร้อนประการใดหรือ? พระคุณเจ้า ฟ้า (ทรงใช้คำแทนพระองค์กับเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ว่า ฟ้า" เสมอ) ยังอยู่" เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ถวายพระพรว่า "เปล่าดอกมหาบพิตร อาตมา ถวายพระพร เพราะได้ทราบว่าขณะนี้แผ่นดินนั้นมืดมัวนัก" หลังจากจุดไต้เข้าวังแล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็จุดไต้ตรงไปยังบ้านเจ้าพระยากลาโหม กล่าวกันว่าเจ้าพระยากลาโหมก็ทราบความหมาย ของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ เหมือนกันเมื่อนิมนต์ให้นั่งในที่อันสมควรแล้ว จึงได้ถวายความจริงใจแก่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ว่า "บ้านเมืองยังไม่ มืดมนดอกพระคุณเจ้า อย่าได้วิตกเลย" เพียงการกระทำและวาจาสั้นๆ ของบุคคลสำคัญๆ ทำความเข้าใจกันได้เป็นอย่างดี เมื่อเจ้าพระคุณ สมเด็จฯ ได้ฟังเช่นนั้นก็กลับวัด อนึ่ง เรื่องการจุดไต้ในเวลากลางวันของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ นั้นเผอิญไปพ้องกันกับเรื่องของ โสเครตีส ปรัชญาเมธีแห่งกรุงเอเธนส์ ในสมัยพุทธศตวรรษที่ ๑ เรื่องราวของโสเครตีส คือในตอนกลางวันวันหนึ่งเขาเดินจุดตะเกียงส่องไปตามถนนหนทาง ในกรุงเอเธนส์ ผู้ที่สัญจรไปมารู้สึกสงสัย ก็พากันไต่ถามว่า "ส่องตะเกียงเพื่อประสงค์อันใด" โสเครตีสตอบว่า "ต้องการส่องหาคน"

การฉันอาหาร

เจ้า พระคุณสมเด็จฯเป็นพระที่ฉันอาหารสำรวมเป็นเนื่องนิจ บางโอกาสที่รับบิณฑบาต ชาวบ้านที่ศรัทธาในตัวท่านกำชับว่า ของที่ใส่บาตร นั้นขอให้ท่านฉันให้ได้ ทั้งนี้เพราะชาวบ้านทราบได้ดีว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ฉันสำรวม อันทำให้อาหารมีรสดีที่ตั้งใจจะให้ท่านฉันนั้นเสื่อมรส ไป หรือมิฉะนั้นอาหารชนิดใดที่มีรสอร่อยท่านมักจะเอาไปให้ลูกศิษย์หรือสุนัข นก กา กินเสียเป็นการให้ทาน เพราะฉะนั้นเมื่อได้รับคำกำชับ คราวใด เพื่อฉลองศรัทธาแก่ผู้ถวาย เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จะล้วงอาหารให้บาตรออกฉันต่อหน้าผู้ถวายให้ผู้นั้นเกิดความปิติ เมื่อฉันสัก ๒-๓ คำพอเป็นพิธีแล้ว เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็สวดให้พรด้วยบท ยถาวาริวหา ฯลฯ และสัพพีฯลฯ ทันที และด้วยเหตุนี้เอง ผู้ที่จะใส่บาตรท่าน ก็มีความเกรงใจไม่กล้ากำชับท่านอีก เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องประหลาดที่ไม่เคยปรากฏว่ามีพระภิกษุองค์ใดกระทำ เช่นนี้ แม้ในสมัยพุทธกาล เรื่องนี้มีผู้วิจารณ์กันไปในแง่ที่ไม่เหมาะสม แต่เมื่อพิจารณาให้ดีแล้วจะเห็นได้ว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ท่านมีเหตุผลในการกระทำของท่าน นั่นคือการสั่งสอนหรือให้สติผู้อื่นในทางอ้อม "พระเจ้าราชวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ ได้ประทานเล่าเรื่องเกี่ยวกับเจ้าพระคุณสมเด็จฯว่า พระญาติผู้ใหญ่ของพระองค์ท่านมีบ้านอยู่ไม่ห่างจากวัดระฆังฯ นัก และเป็นผู้คุ้ยเคยกับเจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์ฯ ได้ไปมาเยี่ยมเยียน ที่บ้านนั้นบ่อยๆ และเมื่อถึงคราวมีงานก็นิมนต์ให้เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ไปสวดมนต์ฉันเช้าอยู่เสมอๆ ญาติผู้ใหญ่ของสมเด็จในกรมฯ เล่าให้ฟังว่า ขณะที่ท่านรับนิมนต์มาฉันจังหัน ระหว่างเดินมาตามทางท่านมักจะเก็บเอาตำแยและต้นไม้อื่นๆ ที่ใกล้ทางไปด้วย เวลาทานฉัน ท่านก็เอา ตำแยใส่ลงในอาหารที่ฉันไม่ว่าหวานหรือคาว เพื่อให้สิ้นความอร่อย ทั้งนี้ เพราะท่านถือว่าอาหารเป็นของกินกันตาย ไม่ต้องการจะให้เพลิน ในรสของมัน..." (จากหนังสือพิมพ์ "ตำรวจ" ฉบับ ๑๓ ตุลาคม ๒๔๙๔ โดย "ฉันทิชัย")

เรื่องเบ็ดเตล็ดต่างๆ

ใน คราวหนึ่งมีลูกศิษย์เก่าสองคน ได้ปรึกษากันเพื่อจะไปขอหวยต่อเจ้าพระคุณสมเด็จฯ คนหนึ่งเข้าไปนวดเจ้าพระคุณสมเด็จฯ บนหอสวดมนต์ อีกคนหนึ่งแอบฟังอยู่ใต้ถุนคนที่นวดก็พยายามขอหวยต่อเจ้าพระคุณสมเด็จฯๆ ทำนองนิ่งเสียโดยไม่ยอมพูดว่ากระไรเลย เพราะท่านทราบ ด้วยญาณว่า มีอีกคนหนึ่งแอบอยู่ใต้ถุน เกรงว่าถ้ากล่าวถ้อยคำอันใดออกไปเจ้าคนที่อยู่ใต้ถุนจะเอาไปแทงหวย ครั้นพอคะเนว่าถึงบอกให้ ก็จะไปแทงไม่ทัน ท่านจึงกล่าวขึ้นเปรยๆ ว่า "บอกให้ก็ได้ แต่กลัวหวยจะรอดช่อง" หมายความว่ากลัวเจ้าคนที่อยู่ใต้ถุงจะได้ยินเข้า พอคนที่อยู่ใต้ถุนได้ยินเช่นนั้นก็รีบวิ่งออกจากวัดระฆังฯ ไปโดยเร็วตั้งใจจะไปแทงตัว ร. และ ช. แต่ไปไม่ทัน หวยออกเสียก่อนแล้วคือ ร. และตัว ช. นั่นเอง

ในสมัยนั้น มีหมอนวดอยู่คนหนึ่ง ชื่ออะไรจำไม่ได้เสียแล้ว เป็นหมอนวดประจำองค์เจ้าพระคุณสมเด็จฯ แกชำนาญในเรื่องการนวดมาก และเคยนวดเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่มาเป็นอันมาก แต่การนวกใครก็ตามไม่เคยประหลาดใจเหมือนนวดเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทั้งนี้ เพราะทุกครั้งที่แกนวดแขนท่าน แกรู้สึกว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯ มีกระดูกแขนท่อนล่างเป็นแท่งเดียว แทนที่จะมีกระดูกคู่เหมือนสามัญชนทั่วไป ในวันหนึ่งขณะที่แกกำลังนวดเจ้าพระคุณสมเด็จฯ อยู่ ตั้งใจจะกราบเรียนถามถึงเรื่องนี้ แต่ไม่กล้าเอ่ยปากถาม แกจึงนวดแรงๆ อยู่เฉพาะตรง ที่แขนท่องล่างของท่านอยู่เป็นเวลานาน เจ้าพระคุณสมเด็จฯก็ล่วงรู้ความในใจของตาหมอนวดได้ จึงกล่าวเปรยๆ ถามขึ้นว่า "นวดมากี่ปีแล้ว" ตาหมอนวดกราบเรียนว่า "นวดมา ๑๐ กว่าปีแล้ว" เจ้าพระคุณสมเด็จฯถามต่อไปว่า " เคยเห็นคนมีกระดูกแขนชิ้นเดียวไหม?" ตาหมอนวด กราบเรียนว่า "ตั้งแต่นวดมายังไม่เคยเห็นเลยนอกจาก..." แกจะพูดต่อไปว่านอกจากเจ้าพระคุณสมเด็จฯ แต่เจ้าพระคุณสมเด็จฯชิงพูด เสียก่อนว่า "จำเอาไว้นะ ถ้าไปพบที่ไหนเข้านั่นแหละพระโพธิ์สัตว์มาบำเพ็ญบารมีละ"

ผู้เขียนขอเรียนด้วยใจจริงว่า มีความเชื่ออย่างแน่นแฟ้นว่า เจ้าพระคุณสมเด็จฯเป็นพระโพธิ์สัตว์ปางหนึ่ง มาบังเกิดในโลกเพื่อสร้างสมพระบารมี และการที่เชื่อถือทั้งนี้มิได้เกิดจากอุปทาน เกิดจากการศึกษาพิจารณาชีวประวัติของท่านอย่างละเอียด และยังไม่เคยมีความศรัทธาในพระสงฆ์ รูปใดเท่า ชาติกำเนิดก็ดี และอัจฉริยภาพทุกประการก็ดี ของท่านเจ้าพระคุณสมเด็จฯองค์นี้ ซาบซึ้งใจผู้เขียนยิ่งนัก ไม่อาจจะหาพระเกจิ อาจารย์ องค์ใดมาเทียบเคียงได้เลย

ในคราวหนึ่ง เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ถูกนิมนต์ให้เข้าไปสวดมนต์ในพระบรมมหาราชวังพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว ทรงกำชับกับ มหาดเล็ก ผู้ไปนิมนต์ว่า ให้เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ครองไตรแพรมาให้ได้ (ไตรแพรที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าฯ ทรงพระราชทานถวาย เป็นรางวัลในคราวที่เทศน์ว่า - ธรรมะใดมหาบพิตรก็ทรงทราบดีแล้ว-) เพื่อมิให้ด้อยกว่าพระสมณศักดิ์อีกหลายรูป ที่ได้รับการนิมนต์ คราวเดียวกันนั้น เพราะพระองค์เห็นว่าเจ้าพระคุณสมเด็จฯครองจีวรรุ่มร่ามและเก่าคร่ำคร่าอยู่ เสมอ (ทรงพระราชดำรัสบ่อยๆว่า "ขรัวโตนี่ยิ่งแก่เข้ายิ่งรุ่มร่ามคร่ำคร่า" ซึ่งเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ทราบเข้าก็พูดเปรยๆ เสมอว่า "โตดีกลับหาว่าว่าโตบ้า ที่โตบ้ากลับหาว่าโตดี" หมายความว่า แต่ก่อนเมื่อท่านยังไม่สำเร็จมรรคผลนั้นจึงย่อมมีความหลงผิด ยังยินดีในลาภสักการ ครองผ้าก็รัดกุมสีสดใส ใครๆ ก็ชมว่า ท่านดีที่แท้ท่านว่าตัวท่านยังบ้าอยู่ แต่พอท่านสำเร็จมรรคผลเป็นบางอย่างจึงละสิ่งเหล่านี้จดหมด กลับมีคนเข้าใจว่าท่านบ้า และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ยังทรงตรัสว่าท่านรุ่มร่าม)

เมื่อใกล้จะถึงกำหนดเวลาสวดมนต์ ยังไม่เห็นเจ้าพระคุณสมเด็จฯมา มหาดเล็ก จึงเร่งนิมนต์อีก ครั้นเมื่อไปถึงวัดระฆังฯเห็นเจ้าคุณพระนั่งอยู่บนกุฎิ ตรงหน้ามีลูกสุนัขตัวหนึ่งนอนทับไตรแพอยู่ มหาดเล็กจึ่งเข้าไปนิมนต์ว่า "เจ้าพระคุณต้องรีบหน่อยเพราะจวนเวลาเต็มที่แล้ว พระทุกรูปมาพร้อมกันหมดแล้ว ยังขาดแต่เจ้าพระคุณ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก็เสด็จแล้ว พร้อมทั้งเจ้านายฝ่ายนอกฝ่ายในตลอดจนข้าราชการ" เจ้าพระคุณสมเด็จฯชี้ให้ดูลูกสุนัขที่กำลังนอนหลับไตรแพรนั้น มหาดเล็ก จึงกราบเรียนให้ไล่ลูกสุนัขตัวนั้นไปเสีย เจ้าพระคุณสมเด็จฯกล่าวว่า "ไม่ได้ดอกจ้ะ เพราะเราไม่รู้ว่าจะเป็นพระโพธิสัตว์หรือเปล่า" (พระโพธิสัตว์เคยเสวยพระชาติเป็นสุนัขดังความปรากฎในเรื่องชาดก) ในหนังสือ "ประวัติขรัวโต" ของพระยาทิพโกษากล่าวว่า แม้เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จะเดินไปตามทางซึ่งมีสุนัขนอนขวางอยู่ก็จะกล่าวว่า "ฉันขอไปทีจ้ะ" แล้วก็ค่อยๆ หลีกไปเสียทางหนึ่ง ปรากฏว่าไม่เคยข้ามสุนัขเลย

เรื่องการตัดสินความของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ

ก็นับว่ามีหลักการพิศดารยิ่งกว่าผู้พิพากษาคนใดในโลก กล่าวคือครั้งหนึ่งได้มีพระ ๒ องค์ทะเลาะวิวาทถึงกับทุบตีกัน พระองค์ที่ถูกตีได้ไปฟ้อง สมเด็จพระวันรัต(เซ่ง) สมเด็จพระวันรัตจึงให้เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ตัดสินความ (ขณะนั้นยังครองสมณศักดิ์เป็นพระทเพหวี) พระองค์ที่ถูกตีก่อน ก็เรียนเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ว่า ตนถูกตีอีกองค์หนึ่งตีก่อน เจ้าพระคุณสมเด็จฯ กล่าวว่า "ท่านแหละตีเขาก่อน" พระองค์นั้นก็พยายามยืนยันว่า จนไม่ได้เป็นฝ่ายตีก่อน เจ้าพระคุณสมเด็จฯกลับยืนกรานว่า "ท่านต้องตีเขาก่อนแน่" สมเด็จพระวันรัตจึงถามว่า "เหตุใดจึงว่าพระองค์นี้ ตีองค์นั้นก่อน?" เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงเรียนว่า "เนื่องจากผลกรรมแต่ปางก่อนที่พระองค์นี้เคยตีเขาก่อน ผลกรรมจะไม่ยุติลงถ้าทั้งสองยังคง จองเวรกรรมกันสืบไป" สมเด็จพระวันรัตจึงกล่าวกับเจ้าพระคุณสมเด็จฯว่า "ถ้าเช่นนั้นท่านจงยุติกรรมอันนี้เสีย" เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ก็ได้ ไปหาปัจจัยบางอย่างมอบให้กับพระองค์ที่ถูกตี และกล่าวแก่พระทั้ง ๒ ว่า "ขอให้ท่านทั้งสองจงอโหสิกรรมให้แก่กันเสียเถิด" เรื่องเป็นอัน ยุติลงด้วยดี เพราะพระทั้ง ๒ รูปต่างก็เชื่อฟัง และยินดีอโหสิกรรมต่อกัน และต่อมาก็ได้ร่วมสมาคมกันเป็นอันดี ไม่มีเรื่องโกรธเคือง ต่อกันอีก อนึ่งเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ยังได้สารภาพต่อสมเด็จพระวันรัตว่าเรื่องนี้เป็นความผิดของท่านที่ปกครอง พระไม่ได้เอง

เรื่องสุดท้ายที่เดียวกับอัจฉริยภาพของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ ซึ่งจะหยิบยกมากล่าวในที่นี้ก็คือ เรื่องการให้พรด้วยวาจาสิทธิ ซึ่ง นับว่าเป็น วิธีการให้พรที่แปลกประหลาดกล่าวคือในสมัยที่เจ้าพระคุณสมเด็จฯ ยังครองสมณศักดิ์เป็นพระเทพกวีอยู่นั้น ได้รักใคร่เมตตาเณรน้อย องค์หนึ่งที่เป็นศิษย์ที่ใกล้ชิด จึงวันหนึ่งขณะที่กำลังสนทนาอยู่กับเณรน้อยองค์นี้และพร้อมกับอุบาสิกาผู้ สูงอายุคนหนึ่ง เจ้าพระคุณสมเด็จฯ กล่าวขึ้นลอยๆว่า "เณร อยากมีอายุยืนไหมจ๊ะ?" เณรน้อยก็รับว่าอยากมีอายุยืน เจ้าพระคุณสมเด็จฯ จึงว่า "ขอพรจากโยมแก่ซิ" พร้อมกับ หันหน้าไปทางอุบสิกาผู้สูงอายุนั้น เณรน้อยองค์นั้นก็เอาดอกไม้ธูเทียนมาส่งใหอุบาสิกาผู้เฒ่าคนนั้นเพื่อขอพร อุบาสิกาผู้เฒ่าจึงให้ศีล ให้พรขอให้เณรน้อยอายุมั่นขวัญยืน นับว่าเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่งว่า เหตุการณ์ที่เหมือนทำกันเล่นในวันนั้นมีผลจริงได้อย่างศักดิ์สิทธ์ เณรน้อยองค์นั้น ต่อมาได้มีอายุถึง ๙๒ปี และครองพรรษาอยู่ถึง ๗๐ พรรษา จึงได้มรณภาพและได้รับสมณศักดิ์ขั้นสุดท้ายเป็น "พระธรรมถาวร" และด้วยการมีอายุยืนนานนี้เอง ทำให้ชนชั้นหลังได้มีโอกาสสืบเรื่องราวของเจ้าพระคุณสมเด็จฯ และการสร้างพระสมเด็จฯ จากท่านและทั้ง ได้บันทึกเป็นหลักฐานกันต่อมา


ที่มา : http://www.soonphra.com/geji/putachan/index3.html

ไม่มีความคิดเห็น: