วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551

ประวัติองค์พ่อจตุคามรามเทพ ตอนที่ ๕ ปรากฏการณ์จตุคามรามเทพ

ประวัติองค์พ่อจตุคามรามเทพ

ตอนที่ ๕ ปรากฏการณ์จตุคามรามเทพ

เขียนเรียบเรียงโดย พลตำรวจโท สรรเพชญ ธรรมาธิกุล
ผู้สร้างหลักเมืองนครศรีธรรมราช

ประวัต http://www.suriyunjuntra.com/data/prawut_kunsunpet.html

.......ก่อน ที่ผู้เขียนจะเดินทางไปรับตำแหน่ง คุณศิริชัย บูลกุล แห่งบริษัทมาบุญครอง ซึ่งเป็นเพื่อนรักกับผู้เขียนขอเลี้ยงส่งเป็นการส่วนตัว ผู้เขียนมีโอกาสได้รู้จักกับเซียนซือคนหนึ่งชื่อจริงว่าอย่างไรไม่ทราบแต่ เรียกกันว่า อาจารย์ฮุย นั่งหลับตาภาวนามาทางผู้เขียนแล้วบอกว่า เมื่อลงไปปักษ์ใต้จะได้พบกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสถานที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง ใกล้ปากแม่น้ำที่จะออกสู่ทะเล แต่ผู้เขียนไม่ได้สนใจ เพราะไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่เลื่อนลอย เพราะเรียนรู้วิชาลึกลับมามากคนนั้นเก่งอย่างนี้ คนนี้เก่งอย่างโน้น พอเอาเข้าจริงก็ไม่เป็นตามนั้น จึงให้ความเชื่อถือเฉพาะเรื่องวิชาโหราศาสตร์

.......เมื่อ ผู้เขียนเดินทางไปรับตำแหน่งผู้กำกับการตำรวจภูธร จังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งในสมัยนี้เป็นตำแหน่งผู้บังคับการ ต่อมาไม่นานได้เกิด ฝนห่าแก้ว ตกในบริเวณเขตเทศบาลเมืองนครศรีธรรมนราช ฝนห่าแก้ว ในภาษาปักษ์ใต้คือ ลูกเห็บ ในช่วงฤดูร้อนของภาคกลาง ภาคเหนือ มักเกิดลูกเห็บตกอยู่เสมอ แต่ทางภาคใต้ตั้งอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรและอยู่ในทะเล อากาศไม่ร้อนจัด ลูกเห็บมักไม่ตก เมื่อเกิดมีลูกเห็บตกจึงถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ ผู้เฒ่าผู้แก่ดีอกดีใจว่าบ้านเมือง จะกลับสู่ความสงบสุข ครั้นถึงเทศกาลงานทอดกฐิน มีพระสงฆ์องค์หนึ่ง ภายหลังทราบชื่อว่า พระครูสงบ ไปขอให้ช่วยเป็นประธานการทอดกฐินที่วัดนางพญา ตำบลปากนคร อำเภอเมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช เพราะหาเจ้าภาพไม่ได้ ผู้เขียนจึงรับปากและชักชวนเพื่อนฝูงในชมรมศรีธรรมราช ช่วยกันทำบุญทุกคนก็ยินดี แต่ไม่ทราบว่าทางวัดจะให้ช่วยเหลืออะไรบ้าง ในตอนหัวค่ำคืนหนึ่ง ผู้เขียนจึงได้ชักชวนเพื่อนฝูงไปที่วัดนางพญา เพื่อไปหาเจ้าอาวาส พอไปถึงศาลาวัด เห็นมีญาติโยมมากมายชุมนุมกันอยู่ จึงพากันเดินเลี่ยงไปนั่งอยู่ที่ศาลาริมแม่น้ำ บอกให้พรรคพวกไปเรียนเจ้าอาวาสว่าหากเสร็จธุระกับญาติโยมแล้ว จะขอหารือเรื่องการจัดเตรียมทอดกฐิน ผู้เขียนจึงทราบว่ามีการเชิญ เจ้าแม่นางพญา ประทับร่างทรงเพื่อขอหวยเบอร์กัน จึงไม่อยากไปรบกวน

.......อยู่ มาสักครู่หนึ่งมัคทายกวัดมาบอกกับผู้เขียนว่า เจ้าแม่นางพญาจะขอสนทนาด้วย ผู้เขียนได้ตอบปฏิเสธไปว่าอย่าให้ผู้เขียนไปยุ่งในเรื่องของญาติโยมเลย มัคทายกวัดกลับไปสักพักหนึ่งก็กลับมาบอกอีกบอกว่าเจ้าแม่นางพญาต้องการพบ ขอให้ไปสักประเดี๋ยว ผู้เขียนปฏิเสธอีก ในที่สุดเจ้าอาวาสได้ออกมาเชิญผู้เขียน ไปพบเจ้าแม่นางพญาด้วยตนเอง ผู้เขียนเกรงใจจำต้องเข้าไปในพิธี ในตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าเป็นเจ้าแม่นางพญาอะไร เข้าทรงจริงหรือปลอมก็ไม่อาจทราบได้ แต่ได้ยินเจ้าแม่นางพญาพูดว่า “เขารอมึงกันมาตั้งเป็นพันปีแล้ว รู้ว่าวันนี้จะมาจึงคอยกันอยู่” ผู้ เขียนไม่เชื่อจึงแกล้งซักไซ้ไล่เลียง เกี่ยวกับประวัติเมืองนครศรีธรรมราช ทำให้พูดคุยกันยืดยาว บรรดาญาติโยมที่ไปขอหวย แสดงท่าทีอึดอัดขัดใจ ผู้เขียนจึงบอกเจ้าแม่นางพญาว่า เขารอขอหวยกันอยู่ บอกเขาไปเขาจะได้กลับบ้าน ทำให้เจ้าแม่นางพญาโกธรด่าญาติโยม ด้วยถ้อยคำหยาบคายสรุปว่า อยากได้หวยได้เบอร์ให้ไปเอาที่ศาลาริมน้ำโน่น อย่ามายุ่งที่นี่ พวกญาติโยมที่มาสังเกตุเห็น พวกผู้เขียนพกปืนจึงสอบถามกันรู้ว่าเป็นผู้กำกับ คิดว่าจะมาจับพวกขอหวยเบอร์ รีบทะยอยหนีกลับบ้านกันหมด

.......ผู้ เขียนสนทนาอยู่กับเจ้าแม่นางพญาต่อไปสักครู่หนึ่ง เห็นว่าไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร ก็จะขอตัวกลับ เจ้าแม่นางพญา ได้ออกปากอนุญาตว่าขอให้มาวันหลัง ไม่มีผู้คนพลุกพล่านเหมือนวันนี้ ขอให้เรียกก็จะมาพบเพราะทุกคนรออยู่ พร้อมกับกระซิบบอกรหัสลับให้แก่ผู้เขียนแล้วออกจากร่างทรงไป ในขณะที่จะกลับนั้นพรรคพวกคนหนึ่งซื้อรถเก๋งยี่ห้อ บีเอ็มดับเบิ้ลยู รุ่น 520 มาใหม่เอี่ยมถอดด้าม ขับมาจอดในวัดแล้วก็สตาร์ตไม่ติดอย่างไรก็ไม่ติด ช่วยเข็นกันอยู่เป็นเวลานาน อยู่ๆ ก็ติดขึ้นมาจึงกลับบ้านได้ ปรากฏว่างวดนั้นเลขท้าย 3 ตัวของรางวัลที่ 1 ออก 520 ผู้เขียนกับพวกรีบกลับไปที่วัด ไปดูที่ศาลาริมน้ำ ตรงเสากลางศาลามีแผ่นกระดานขนาดฝ่ามือตอกติดอยู่กับเสา มีตัวเลข 520 เขียนด้วยชอล์คสีขาว คิดว่ามีใครเขียนมาติดไว้เมื่อหวยออกแล้วก็ได้ แต่เมื่อดูขึ้นไปบนหลังคาตรงรอยต่อที่มีปูนซีเมนต์พอกไว้กันรั่ว ตากแดดตากฝนจนตะไคร่น้ำจับสีเขียว เห็นชัดเจนว่ามีเลข 520 อยู่ใต้ตะไคร่น้ำ แสดงว่าเขียนไว้นานแล้ว ไม่ใช่มาทำขึ้นเมื่อหวยออกแล้ว ชวนให้คิดว่าคำพูดของเจ้าแม่นางพญาเป็นความจริง ผู้เขียนต้องหาโอกาสพิสูจน์ใหม่

.......หลัง จากเสร็จงานทอดกฐินผู้เขียนกับพวกชวนกันไปวัดนางพญากันในตอนหัวค่ำอีก แต่ปรากฏว่าเจ้าอาวาสไม่อยู่ ร่างทรงที่เป็นหญิงก็ไม่อยู่ มีแต่ลูกวัด ผู้เขียนจึงสอบถามอาจารย์เขียด ที่ไปด้วยว่ามีใครมาเข้าทรงเป็นบ้าง อาจารย์เขียดบอกว่า นายอะผ่อง สกุลอมร เคยพาไปครอบครู เพื่อให้เป็นร่างทรงของพระจีน เพื่อสร้างศาลเจ้า แต่ทรงเท่าไหร่ก็ทำไม่ได้ ถ้าไปตามมาลองกันดูเพราะไม่รู้จักคนอื่น อาจารย์เขียดจึงไปรับ นายอะผ่อง ผู้เขียนจึงทำพิธีเชิญเจ้าแม่นางพญาตามรหัสลับที่บอกไว้ สักครู่หนึ่งก็เข้าประทับทรง แต่เป็นเทพองค์อื่นไม่ใช่เจ้าแม่นางพญา ผู้เขียนจึงไม่เชื่อว่าเข้าทรงจริง จึงทดสอบด้วยการเอาบุหรี่จี้ไปที่ต้นแขน ตามปกติถ้าเป็นการเข้าทรงปลอม พอถูกไฟจี้ก็จะต้องสะดุ้งแสดงอาการเจ็บปวด ผู้เขียนจี้จนบุหรี่ดับก็นิ่งเฉยอยู่ ผู้เขียนจึงกระซิบให้ โกเบ้ง (นายโยธิน พฤกษ์สถานนท์) จุดธูปมา ผู้เขียนใช้ธูปจี้ ไปที่ต้นแขนจนได้กลิ่นเนื้อไหม้เข้าจมูกก็ยังนั่งเฉย แต่พูดว่าถ้าไม่เชื่อให้ไปเอาดาบมาฟัน ถ้าฟันไม่เข้าจะให้อะไร ผู้เขียนจึงกล่าวคำขอโทษและบอกเหตุผลว่าที่จำเป็นต้องทดสอบ เพราะว่าผู้เขียนเป็นหัวหน้าตำรวจถ้าถูกใครต้มตุ๋นหลอกลวงก็อับอายขายหน้า เขา ไม่มีทางอื่นใดจะพิสูจน์ได้นอกจากวิธีนี้ เทพในร่างทรงก็ไม่ถือโทษอะไรบอกว่าท่านเป็น พญาชิงชัย ที่มาในวันนี้เพราะรู้ว่าข้างหน้าผู้เขียนจะต้องต่อสู้กับพวกอิทธิพลอำนาจ มืด และโจรผู้ร้ายอย่างหนักหน่วง จำเป็นต้องป้องกันล่วงหน้า บอกให้พระลูกวัดไปหาผ้าขาวมาผืนหนึ่ง พญาชิงชัย ใช้ดินสอเขียนยันต์ลงในผ้าขาว แล้วเคี้ยวหมากพ่นไปที่ผ้าผืนนั้น เสร็จแล้วก็เอาไปซับที่หน้า ส่งให้แก่ผู้เขียน เพื่อพกติดตัว เรียกว่า ยันต์ยุ่ง ซึ่งผู้เขียนเก็บรักษามาจนทุกวันนี้

ี้.......ต่อ จากนั้นบอกว่าผู้เขียนมี ดวงชะตาเมืองนครศรีธรรมราชเก่า ตรวจสอบศึกษามานานแล้ว แต่ทำไมไม่ช่วยเหลือบ้านเมือง ผู้เขียนบอกว่าก็ทำหน้าที่ปราบปรามโจรผู้ร้ายอยู่แล้ว พญาชิงชัย บอกว่าไม่ใช่ มึงก็รู้ว่าบ้านเมืองถูกสาป จะปล่อยให้แผ่นดินเป็นอย่างนี้ต่อไปหรือ ผู้เขียนถามว่าแล้วจะให้ทำอย่างไร พญาชิงชัย บอกว่าขอให้ช่วยล้างอาถรรพ์คำสาป แล้วสร้างหลักเมืองขึ้นใหม่ ผู้เขียนปฏิเสธบอกว่าการสร้างหลักเมืองเป็นเรื่องของเจ้าเมือง ผู้เขียนเป็นตำรวจไปทำเหมือนไปแย่งงานเขา ถ้าจะให้ช่วยเหลืออย่างไรก็ยินดี พญาชิงชัย บอกว่าไม่มีใครทำได้นอกจากผู้เขียนเพียงคนเดียว ไม่ต้องถามว่าเพราะอะไร พญาชิงชัย บอกวันเดือนปีเกิดของผู้เขียน พร้อมกับบอกดวงดาวสถิตย ์ในราศีของดวงชะตา ได้อย่างถูกต้องทุกอย่าง ทั้งยังรู้องศาของดวงดาวสำคัญ อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ผู้เขียนก็ยังไม่รับปากขอกลับไปคิดพิจารณาแล้วมาให้คำตอบ


.......นายอะผ่อง สกุลอมร เป็นชาวไทยเชื้อสายจีนลูกเจ้าของร้านขายสินค้าราชธานี ในตลาดท่าวัง เรียนหนังสือจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 หรือไม่จบอย่างไรไม่มีใครรู้ ต่อมามีภรรยาเป็นชาวไทยชื่อ เขียว ชาวจังหวัดพัทลุง พ่อแม่พี่น้องรังเกียจ จึงแยกครอบครัวไปอยู่กับภรรยาแถววัดสวนหลวง ทำมาค้าขายขาดทุนหมดเนื้อหมดตัว เลี้ยงชีพด้วยการทำซาละเปาขายพอยังชีพไปวันๆ บ้านที่อยู่อาศัยเป็ยเพิงมุงจาก รกรุงรังน่าสงสาร ลูกเมียอดอยากยากแค้น ผู้เขียนเห็นว่าสามารถเป็นร่างทรงได้ จึงเรียกไปเป็นร่างทรงและให้เงินทองไปใช้จ่ายทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น แต่พรรคพวกส่วนใหญ่ยังสงสัยอยู่ว่าเข้าทรงได้จริงหรือว่าเข้าทรงปลอม
.......เมื่อ ถึงวันนัดหมายกับ พญาชิงชัย ผู้เขียนจึงให้นายอะผ่อง เป็นร่างทรง ปรากฏว่าในครั้งนี้ องค์จตุคามรามเทพ ได้มาประทับในร่างทรง ขอให้ผู้เขียนหาไม้ตะเคียนทองขนาดความยาวราว 1 ศอก ทำเป็นรูป 8 เหลี่ยม ขุดหลุมแล้วฝังลงในพื้นดินที่ตรงไหนก็ได้ ถ้าทำเพียงแค่นี้ผู้เขียนก็รับปากว่าไม่ขัดข้อง แต่เมื่อสนทนากันต่อไปทำให้ผู้เขียนทราบว่า บรรดาผู้ที่มาประทับในร่างทรง ล้วนแต่เคยเป็นมหาราชแห่ง อาณาจักรศรีวิชัย ชาติมหาอำนาจทางทะเลที่ยิ่งใหญ่ 1 ใน 5 ของโลกในยุคนั้น ความยิ่งใหญ่ไม่เป็นรองจีน อินเดีย เมโสโปเตเมีย โรมัน เพราะว่าผู้เขียนเป็นผู้ศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์และศิลปศรีวิชัยมาเป็น เวลานาน สงสัยว่าเมืองนครศรีธรรมราช หรือ กรุงตามพรลิงค์ น่าจะเคยเป็นเมืองหลวงของพวกศรีวิชัย แต่ยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ จึงบอกแก่องค์จตุคามรามเทพว่า ถ้าเป็นศรีวิชัยจะทำแค่เอาไม้ตะเคียน 1 ศอกปักในดินเป็นเสาหลักเมืองนั้นไม่ได้ หลักเมืองศรีวิชัย จะต้องงดงามเป็นเลิศเป็นที่ 1 ในโลกจะต้องสมหน้าสมตาสมเกียรติประวัติที่เคยเป็นจักรวรรดิ์ยิ่งใหญ่ในน่าน น้ำทะเลใต้ มีอำนาจและรุ่งเรืองเป็นเวลานานยิ่งกว่าอาณาจักรใด ก่อนจะล่มสลายกลายเป็นบ้านเมืองใหญ่น้อยอยู่ในเอเซียใต้ แต่ก็ขอให้เจ้าเมืองเป็นผู้ดำเนินการ ผู้เขียนจะให้การสนับสนุนช่วยเหลืออย่างเต็มที่


.......ใน ขณะนั้นผู้เขียนยังไม่รู้ว่า ผู้ที่มาประทับในร่างทรงเป็นใคร มีชื่อว่าอย่างไร แต่จากการพูดจาสังเกตุอากัปกิริยาก็พอจะเดาได้ว่าเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุด เหนือกว่าผู้ที่เคยมาประทับทรงก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะเป็น พญาชิงชัย หรือ เจ้าแม่นางพญา เมื่อจะต้องร่วมกันทำงานใหญ่จำเป็นต้องรู้เรื่องราวให้ชัดเจน จึงถามว่าเป็นใคร ผู้ที่ประทับอยู่ในร่างไม่ตอบ แต่บอกว่าผู้เขียนเป็นคนมีฝีมือในการวาดรูป จึงแสดงท่านั่งในแบบมหาราชลีลา และบอกเค้าหน้าว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้เป็นต้นว่า คิ้วโก่งดั่งคันศร จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเรียวเหมือนกระจับ ดวงตากลมเป็นประกาย ดังนี้เป็นต้น ผู้เขียนเคยอ่านบันทึกของราชฑูตจีน ซึ่งเดินทางมาเยือน ราชสำนักตามพรลิงค์ใน พ.ศ. 1150 จึงพอทราบว่าเป็นท่านั่ง ในขณะเสด็จขึ้นประทับเหนือบัลลังก์ของกษัตริย์ศรีวิชัยที่เรียกว่า มหาราชลีลา แล้วบอกว่าให้เอารูปที่เขียนขึ้นอย่างคร่าวๆ นี้ไปถาม “ไอ้หนวดยาวดูว่ากูคือใคร” ตอนนั้นผู้เขียนไม่ทราบว่าไอ้หนวดยาวคือใคร แต่พอสนทนากันไปก็รู้ว่าที่แท้ก็คือ พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช มือ ปราบจอมขมังเวทรุ่นปรมาจารย์ ผู้เขียนจึงบอกว่าไม่รู้จักกันและท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ จะเอาเรื่องไม่เป็นสาระเช่นนี้ไปสอบถามเห็นว่าจะไม่ค่อยเหมาะสม ผู้ที่ประทับในร่างทรงบอกว่า “เขารอมึงอยู่ มันจะยังไม่ตายถ้าหลักเมืองไม่เสร็จ ไปเถอะ พอมันรู้มันรีบรับปากมึงทันที”

.......ผู้ เขียนจำเป็นต้องออกอุบายให้ นายดาบวัชรินทร์ หนูหลง คนขับรถผู้กำกับการไปบอกแก่ท่านขุนว่าผู้เขียนจะไปเยี่ยมคารวะที่บ้าน เมื่อถึงเวลานัดหมายผู้เขียนก็เดินทางไปกับพลขับเพียง 2 คน จอดรถยนต์ไว้ที่หน้าบ้าน พอผู้เขียนเดินเข้าไปถึงประตูทางเข้าบ้าน เห็นท่านขุนออกมายืนรอรับอยู่ ผู้เขียนจึงยกมือไหว้ยังไม่ทันพูดจาอะไร ผู้เขียนเห็นร่างของท่านขุนสั่นอย่างรุนแรง ดวงตาขมึงทึง มีเสียงคำรามอยู่ในลำคอ ก็รู้ว่ากำลังเข้าทรงจึงยืนตะลึงอยู่ ท่านขุนเอ่ยปากร้องถามด้วยเสียงดังว่า ”มาหาใคร” ผู้เขียนก็ตอบว่ามาหาท่านขุน ตามที่นัดหมายกัน แต่ท่านขุนยังถามต่อไปว่า “มีธุระอะไร” ผู้เขียนจึงตอบไปว่า “เขาให้เอารูปนี้มาถามว่าเขาเป็นใคร” ท่านขุนตอบผู้เขียนทันทีว่า “จตุคามรามเทพ”

.......ทันใดนั้น พลตำรวจตรีขุนพันธรักษ์ราชเดช ก็กลับคืนสู่ภาวะปกติ เชิญผู้เขียนไปนั่งคุยที่โต๊ะรับแขกหน้าบ้าน สิ่งแรกที่ท่านขุนสอบถามผู้เขียนก็คืออยากรู้ว่า ผู้เขียนไปรู้จักกับ จตุคามรามเทพ ได้อย่างไร ผู้เขียนตอบตรงไปตรงมาว่า “ผมไม่ได้ไปรู้จัก แต่เขามารู้จักผมเอง และให้ผมถามท่านขุนว่าเขาเป็นใคร” ท่านขุนเล่าให้ฟังว่า ดวงวิญญาณขององค์จตุคามรามเทพสถิตย์อยู่ที่วัดพระบรมธาตุ เมืองนครศรีธรรมราชมาช้านานแล้ว ไม่มีใครได้พบเข้าถึง แม้แต่ตัวท่านขุนเองก็รู้จักแต่ชื่อ ทุกครั้งที่สร้างพระให้วัดต่างๆ เมื่อไปทำพิธีบอกกล่าวขออนุญาตที่วัดพระธาตุ ด้วยวิธีการเข้าทรงก็มาบอกแต่เพียงว่า อนุญาต แล้วก็หายไป จึงไม่มีใครได้พบได้สัมผัส ต่อจากนั้นท่านขุนได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า
.......ผู้ เขียนเป็นคนมีวาสนาสูง เพราะว่าเมื่อตอนที่ผู้เขียนเดินเข้ามาในบริเวณบ้าน ท่านขุนมองเห็นองค์จตุคามรามเทพ แต่งองค์ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์โบราณ ทองคำ เพชรนิลจินดาทอแสง เป็นประกาย เหล่าเสนาอำมาตย์ผู้ติดตามแวดล้อมมากมาย จนบริเวณบ้านไม่มีที่จะยืน ล้นออกไปนอกถนน นับเป็นเกียรติอย่างยิ่ง และเป็นมงคลอย่างที่สุดต่อท่านขุน เพราะเพิ่งได้เห็นได้พบองค์จตุคามรามเทพ ในครั้งนี้ แล้วสอบถามว่ามีธุระอะไรที่จะให้ช่วยเหลือ ผู้เขียนบอกว่า “เขาให้ผมมาชวนท่านขุนทำหลักเมือง” ท่านขุนตอบว่าได้ทันทีว่า “ผมรออยู่ ที่ยังไม่ตาย เพราะยังไม่ได้ทำหลักเมือง ถ้าผู้กำกับทำต้องสำเร็จแน่ จะให้ผมทำอะไรช่วยเหลืออะไรอย่าได้เกรงใจ ผมยินดีอย่างที่สุด” ต่อจากนั้นได้เล่าให้ผู้เขียนฟังถึงอาถรรณ์ในเรื่องนี้ว่า ...........

สามารถอ่านต่อได้จากแหล่งอ้างอิง : http://www.suriyunjuntra.com/data/prakodtakan_jatukamramtep.html


ที่มา : http://www.jatukamramtap-nakhorn.com/menu/jatukhamstory3.html

ไม่มีความคิดเห็น: